“เรื่องมันซ้ำมาก จนผมอาย ไม่มีอะไรจะเขียน… แสดงว่ามันไม่พัฒนาเลย” อรุณ วัชระสวัสดิ์ นักเขียนการ์ตูนล้อการเมือง วัย 72 ปี อธิบายหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจ “เว้นวรรค” การเขียนการ์ตูนล้อการเมืองมาแล้ว 5 เดือน
วงจรการเมืองไทยที่ “ย้อนยุค-วนเวียนซ้ำซาก” ทำให้ประเทศชาติตกอยู่ในวังวนเดิม ๆ ถูกผู้สังเกตการณ์การเมืองอย่าง อรุณ อุปมาว่าเป็น “การดูมวยปล้ำที่เขาเขียนบทไว้แล้ว แค่เปลี่ยนนักชกเท่านั้น”
ดินสอ-ปากกา-พู่กัน ที่เขาจับติดมือทุกวันตลอด 50 ปีที่ผ่านมา ถูกวางไว้บนโต๊ะทำงาน เช่นเดียวกับโปรแกรมโฟโต้ชอป (Adobe Photoshop) ในคอมพิวเตอร์ ที่ไม่ได้เปิดใช้งาน เมื่อเจ้าของเครื่องไม่ได้วาดลวดลาย-ระบายเส้นสีการ์ตูนตัวต่าง ๆ
- พานไหว้ครู : ล้อการเมืองกับพิธีไหว้ครู เปิดกว้างทางความคิด หรือ ผิดกาลเทศะ?
- ตำรวจสั่งชายฝรั่งเศสถอดวิดีโอล้อเพลง “คืนความสุขให้ประเทศไทย” หลังยอดคนดูพุ่ง “1 ล้าน ใน 24 ชม.”
- สื่อเสียดสี เพิ่มดีกรีความฮา สะท้อนองศาการเมืองไทย
สุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส เล่าว่า เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน อรุณ โทรมาแจ้งว่า “จะหยุดเขียนการ์ตูนแล้ว” ฟังแล้วรู้สึกโกรธมาก เพราะตัวเขายังไม่หยุดทำข่าว ก่อนมาคิดได้ว่านักข่าวนั้นเป็นกรรมกร แต่นักวาดการ์ตูนเป็นศิลปิน และศิลปินมีสิทธิหยุด แต่กรรมกรไม่มีสิทธิหยุด
สุจิตต์-ขรรค์ชัย-สุทธิชัย ผู้เปิดประตูบานแรก-เปิดโลกทัศน์ทางการ์ตูน
อรุณ เริ่มต้นงานวาดการ์ตูนล้อการเมืองครั้งแรกในปี 2515 กับหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ซึ่งในขณะนั้นเขายังเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 6 คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ ม. ศิลปากร โดยได้ 2 รุ่นพี่คือ สุจิตต์ วงษ์เทศ และ ขรรค์ชัย บุนปาน ศิษย์เก่า ม. ศิลปากร และนักข่าวสยามรัฐ เป็นผู้ “เปิดประตูบานแรก” ให้น้องร่วมสำนักก้าวเข้าสู่อาชีพการ์ตูนนิสต์ หลังเขาส่งการ์ตูนชุด 5 รูปที่ล้อหนังไทยไปถึงกอง บก. สยามรัฐ
“ผมแกะซองแล้วเอารูปออกมาดู แล้วก็ตบอกผางว่าฝีมือดีเหลือกำลัง แต่ยังเขียนเลียนแบบ ‘พีนัท’ การ์ตูนฝรั่งอยู่ หากดัดแปลงเป็นเจ้าหนูหัวจุกแบบไทย ๆ เสีย คงสนุกพิลึก” สุจิตต์ กล่าวไว้ในหนังสือ “อรุณตวัดการเมือง” ของสำนักพิมพ์มติชน ถึงจุดเริ่มต้นของการ์ตูนเด็กไทยหัวโต “ม้าหิน-จอมปลวก” ล้อเสียดสีสังคม ซึ่งปรากฏอยู่บนหน้ากลางของสยามรัฐรายวัน
ส่วน สุทธิชัย เป็นคนที่ อรุณ บอกว่าช่วย “เปิดโลกทัศน์ทางการ์ตูน” ให้แก่เขา
วันหนึ่ง ในระหว่างทั้งคู่นั่งอยู่ในกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ประชาชาติรายวัน ก็มีห่อหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์มาส่ง
“เฮ้ย! อรุณดู สุดยอดเลยอ่ะ” สุทธิชัย กล่าวกับเพื่อนร่วมงาน พลางยื่นการ์ตูนของนิวยอร์กไทม์ให้ดู ซึ่งเนื้อหาเป็นการล้อประธานาธิบดี ริชาร์ด มิลเฮาส์ นิกสัน ของสหรัฐฯ ผู้ตกเป็นข่าวฉาวระดับโลกในคดี “วอเตอร์เกต”
อรุณ หวนนึกถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้น ณ ตอนนั้นว่า “เหมือนมวยไทยได้ดูนักชกมวยสากลต่อย ดูแล้วออกหมัดสวยกว่า แฟร์กว่า ผมก็เลยเปลี่ยนสไตล์เขียนเลย” เพราะ “เวลาผมชอบใคร ผมก็ชอบลอกเลียนเขา ความสุขในการเขียนของผมคือการได้ค้นคว้าศึกษา เพราะถ้าเขียนสไตล์เดียว 40-50 ปีก็คงเบื่อ”
ในช่วงทำงานให้เครือเดอะเนชั่น (The Nation) 1 ใน 2 หนังสือพิมพ์ฉบับภาษาอังกฤษของไทย สุทธิชัย มักสรรหาการ์ตูนต่างประเทศมาแบ่งปันให้การ์ตูนนิสต์ของเขาได้ดูอยู่เสมอ
“ผมไม่รู้ภาษาอังกฤษ ไม่รู้จะเขียนแคปชั่น (คำบรรยาย) อย่างไร เปรียบเหมือนเอามุสลิมไปขายข้าวขาหมู จึงต้องศึกษาทำการบ้านมากเลย เพื่อทำให้การ์ตูนสามารถสื่อความได้หมดโดยไม่ต้องมีแคปชั่น” อรุณ เฉลยที่มาของการ์ตูนไร้คำบรรยายที่กลายเป็นลายเซ็นของเขา
มีเมตตาในการ์ตูน เน้นความ ไม่เน้นคน
ในขณะที่ผู้คนในสังคมการเมืองไทยตกอยู่ภายใต้ลัทธิ “เชิดชูตัวบุคคล” และ “เชิดชูผู้นำ” แต่นั่นไม่ใช่กับ อรุณ
แนวทางการวาดการ์ตูนของ อรุณ ไม่เน้นตัวบุคคล แต่เน้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วกระทบต่อผู้คนในวงกว้าง หรือพูดง่าย ๆ ว่า “เน้นความ มากกว่าเน้นคน” เป็นผลให้อายุการ์ตูนของเขายืนยาวกว่า และโอกาสพลาดน้อยกว่า
อรุณ มีเมตตากับนักการเมืองที่ถูกเขียนถึงเสมอ และมั่นใจว่าสามารถมองหน้าทุกคนได้อย่างเต็มตา เพราะเมื่อเห็นตัวแสดงทางการเมืองทำอะไรไม่เหมาะควร เขาเลือกใช้วิธี “ติ” แต่ไม่เคย “ด่า” ขนาดบางคนถูก “ติอย่างหนัก” ก็ยังมีแก่ใจขอรับการ์ตูนของ อรุณ ไปปะฝาบ้านไว้เป็นที่ระลึก
“วันหนึ่งผมเขียนเรื่องนักการเมืองคนหนึ่ง เรียกว่าติเขาอย่างหนักเลย เขาโทรหาผมทันทีเลย ขอเอารูปไปติดข้างฝาหน่อย ผมคิดว่าผมมีความเมตตาอยู่ ถึงเขาทำไม่ถูก ผมก็ไม่ไปหยาบคายใส่เขา” เขาบอกเล่าประสบการณ์ในอดีต
ในช่วงที่ยังวาดลวดลายตามหน้าหนังสือพิมพ์ สิ่งที่การ์ตูนนิสต์รายนี้ไม่ชอบเลยมี 2 อย่างคือ หนึ่ง การถูกตั้งคำถามว่า “ภาพนี้หมายความว่าอย่างไร” เพราะบางครั้งคนเขียนก็ยังไม่รู้ งง ๆ เหมือนกัน กับ สอง การพบปะนักการเมือง แต่เมื่ออายุตัวมากขึ้นย่อมรู้จักคนมากขึ้น ทั้งที่นักวาดการ์ตูนล้อการเมืองไม่ควรรู้จักนักการเมืองเลย “พอไปเจอหน้า เราก็ต้องไหว้เขา ก็จะเหมือนเสียจรรยาบรรณไป มันทำให้อึดอัด และไม่สนิทใจในการเขียนถึง”